วันจันทร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2554

ประวัติศาสตร์(อยุธยา)

อยุธยาเป็นเมืองหลวงของสยามเป็นเวลากว่า 400 ปี
สถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นโดยพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) เมื่อวันศุกร์ที่ 4
มีนาคม พ.ศ.1893 และถูกทำลายโดยกองทัพพม่าในสมัยพระเจ้าเอกทัศน์ เมื่อวันที่ 7
เมษายน พ.ศ.2310 อยุธยามีกษัตริย์ปกครองทั้งหมด 34 พระองค์ จาก 5 ราชวงศ์
(มีราชวงศ์ อู่ทอง สุพรรณบุรี สุโขทัย ปราสาททอง และบ้านพลูหลวง)
มีพุทธศาสนาแบบหินยานเป็นศาสนาประจำอาณาจักร
แต่ในขณะเดียวกันก็มีความเชื่อด้านวิญญาณและพระพุทธศาสนาแบบมหายานเจือปนอยู่ด้วย
สำหรับในสถาบันกษัตริย์ของอยุธยา
ก็ยังใช้พิธีกรรมที่เป็นฮินดูและพราหมณ์เป็นการสร้างอำนาจและความศักดิ์สิทธิ์
เป็นการผสมระหว่างหลัก “ธรรมราชา” และ “เทวราชา”
ภูมิศาสตร์
     อยุธยาเป็นอาณาจักรที่มีความได้เปรียบทางสภาพภูมิศาสตร์
คือตั้งอยู่ที่บริเวณแม่น้ำ 3 สายมาบรรจบกัน มีแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสัก
และแม่น้ำลพบุรี ทำให้อยุธยามีสภาพเป็นเกาะมีแม่น้ำล้อมรอบ ถนนรอบเกาะยาวประมาณ 12
กิโลเมตร เป็นที่ราบลุ่มเหมาะแก่การทำการเพาะปลูกข้าวและยังอยู่ใกล้ทะเลพอสมควร
ทำให้สามารถทำการค้าต่างประเทศได้โดยสะดวก
ก่อนอาณาจักรอยุธยา
     ในช่วงแต่กลางพุทธศตวรรษที่
18 ถึงปลายพุทธศตวรรษที่ 19 อาณาจักรไทยได้เกิดขึ้นหลายอาณาจักร เช่น สุโขทัย
ล้านนา (เชียงใหม่) ล้านช้าง (หลวงพระบาง) แต่อาณาจักรเหล่านี้ยังมีลักษณะเป็น
“แว่นแคว้น” หรือ “เมือง” ที่รวมกันขึ้นมาตั้งเป็นอิสระ
ยังมิได้มีอาณาจักรใดอาณาจักรหนึ่งมีอำนาจหรือมีลักษณะเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง
อยุธยาถือกำเนิดขึ้นมาจากการรวมตัวของเมืองสุพรรณบุรีและลพบุรี
ทั้งสองเมืองนี้เป็นศูนย์กลางของอำนาจในวงกำจัดในภาคกลางของประเทศไทย
สุพรรณบุรีมีอำนาจทางซีกตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา
ซึ่งมีเมืองเก่าหลายเมืองรวมอยู่ในกลุ่มนี้ เช่น นครชัยศรี (นครปฐมเดิม), ราชบุรี,
เพชรบุรี
ส่วนลพบุรีก็มีอำนาจทางซีกตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา
ทั้งสุพรรณบุรีและลพบุรีมีมรดกทางประวัติศาสตร์สืบเนื่องมาจากสมัยทวารวดี
และอยู่ภายใต้อิทธพลของขอม (เขมร) จากเมืองพระนครหลวงหรือกรุงศรียโสธรปุระ
(สมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 - สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7)
อาณาจักรอยุธยา
     เมื่อปี พ.ศ. 1893
พระเจ้าอู่ทองได้สถาปนาอยุธยาขึ้น โดยตั้งขึ้นในเมืองเก่า “อโยธยา” ที่มีมาก่อน
และเป็นเมืองที่อยู่ระหว่างกลางของสุพรรณบุรีและลพบุรี
ประวัติศาสตร์ช่วงแรกของอยุธยา เป็นเรื่องของการแก่งแย่งชิงอำนาจของ 2 ราชวงศ์ คือ
ราชวงศ์อู่ทองและราชวงศ์สุพรรณบุรี
(อันเป็นฝ่ายของพระเชษฐาหรือพระอนุชาของมเหสีของพระเจ้าอู่ทอง)
และจบด้วยชัยชนะของฝ่ายสุพรรณบุรีในสมัยของพระเจ้าอินทราชาธิราชที่ 1
ดังนั้นในครึ่งหนึ่งของประวัติศาสตร์อยุธยา (ก่อนเสียกรุงให้พม่าครั้งที่ 1)
ที่มีกษัตริย์จาก 2 ราชวงศ์ รวม 17 พระองศ์นั้น จะมีกษัตริย์จากราชวงศ์อู่ทอง 3
พระองศ์คือ พระรามาธิบดีที่ 1 พระราเมศวร
และพระรามรามาธิราช
     ในช่วงแรกของอาณาจักรอยุธยา
มีความพยายามที่จะยึดอาณาจักรของขอมที่เมืองพระนครหลวงหรือกรุงศรียโสธรปุระ
ซึ่งมีการทำสงคราม 3 ครั้งใหญ่
อันเป็นผลทำให้อาณาจักรขอมอ่อนอำนาจลงและต้องย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่พนมเปญ
ในขณะเดียวกันอยุธยาก็พยายามแผ่อำนาจไปทางเหนือ
เข้าครอบครองอาณาจักรสุโขทัยได้สำเร็จ
ส่วนทางใต้อยุธยาก็ได้เมืองนครศรีธรรมราช
การขยายอำนาจของอยุธยาทำให้เกิดการแย่งชิงอำนาจเหนือเชียงใหม่และอาณาจักรมอญ
(ในพม่าตอนล่าง) ความพยายามของอยุธยาที่จะมีอำนาจเหนือเชียงใหม่และมอญนี้
ก็ทำให้มีการขัดแย้งกับพม่าเป็นประจำ อันทำให้อยุธยาถูกทำลายลงในปี พ.ศ.2310
(เสียกรุงครั้งที่ 2)
การปกครอง
     ระบบการปกครองของอยุธยาเป็นระบบ
“ราชาธิราชผสมกับศักดินา” กล่าวคือกษัตริย์มีอำนาจสูงสุด
แต่ก็ยังมีการแบ่งชนชั้นปกครองเป็น พระมหากษัตริย์-ขุนนาง-พระสงฆ์-ราษฎร
ออกเป็นหมวดหมู่อย่างชัดเจน มีการเกณฑ์แรงงาน “ไพร่” และการเก็บอากร “ส่วย”
เป็นผลิตผลและตัวเงิน
พระเจ้าแผ่นดินทรงผูกขาดการค้ากับต่างประเทศ
การแบ่งชนชั้นของความเป็นเจ้าและขุนนาง
มิได้มีการแบ่งตายตัวทั้งนี้เพราะการสืบราชสมบัติ
บางครั้งขุนนางก็สามารถขึ้นมายึดอำนาจตั้งราชวงศ์
ใหม่ได้
ดังจะเห็นในกรณีของขุนวรวงศาธิราช
หรือในกรณีของราชวงศ์ปราสาททองและราชวงศ์บ้านพลูหลวง
สำหรับราษฎรทั่วไปนั้น
ออกแบ่งออกเป็น “ไพร่” โดยต้องมีสังกัดขึ้นกับ “มูลนาย” อย่างแน่นอน มีการแบ่งเป็น
“ไพร่หลวง” และ “ไพร่สม” (ไพร่หลวงขึ้นตรงต่อพระเจ้าแผ่นดิน
ไพร่สมขึ้นเจ้าหรือขุนนาง)
ไพร่ทั้งสองแบบมีหน้าที่ที่จะต้องถูกเกณฑ์แรงงานทำงานให้กับนายของตน
และถูกเกณฑ์เป็นทหารเมื่อเวลามีสงคราม นอกจากนี้ยังมี “ไพร่ส่วย”
ซึ่งเป็นไร่ที่เอาผลิตผลมาเสียภาษีแทนการเกณฑ์แรงงาน
ไพร่แบบนี้จะเป็นราษฎรที่อยู่ห่างไกลออกไปและอยู่ในพื้นที่ที่มีผลิตผลจากป่าหรือจากแผ่นดิน
ตำนาน
     ตำนาน
คือหนังสือที่เป็นผลงานทางด้านประวัติศาสตร์ของไทยที่เก่าแก่ที่สุดควบคู่กับ
“พงศาวดาร” โดยทั่วไปตำนานแบ่งเป็น 3 ลักษณะ
คือ
1.เป็นเรื่องราวของวงศ์ตระกูลหรือตัวบุคคล
2.เป็นเรื่องราวของการสร้างบ้านสร้างเมือง
3.เป็นเรื่องราวของพุทธศาสนาหรือพุทธสถาน
     ดังนั้นตำนานก็เป็นเสมือนผลงานทางประวัติศาสตร์ที่เป็นหลักฐานเกี่ยวกับบ้านเมืองหรือผู้ปกครองเป็นหลักฐานที่อ้างถึงสิทธิอันชอบธรรมในการเป็นผู้ปกครองที่สืบทอดกันมาโดยบรรพบุรุษ
     ตำนานที่เป็นที่รู้จักกันก็มีเช่น
ตำนานมูลศาสนา เขียนเป็นภาษาไทยยวน
เนื้อหาของตำนานนี้เป็นเรื่องราวของพุทธศาสนาที่กำเนิดขึ้นในอินเดียและเผยแพร่เข้ามาในประเทศไทย
ตำนานอื่นๆที่มีความสำคัญในลักษณะเดียวกันนี้ก็มี
เช่น จามเทวีวงศ์ ชินกาลมาลีปกรณ์ ตำนานเมืองนครศรีธรรมราช
และตำนานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช ตำนานพราหมณ์เมืองนครศรีธรรมราช
พงศาวดาร
     พงศาวดาร
คือหนังสือที่เป็นประวัติศาสตร์ไทยที่เก่าแก่ที่สุดควบคู่กับ “ตำนาน”
พงศาวดารมาจากคำ 2 คำ คือ พงศ์ และ อวตาร โดยพงศาวดารจะเขียนเป็นภาษาไทย
งานเขียนของนักปราชญ์ประจำราชสำนัก
พงศาวดารจึงเป็นงานเขียนที่เน้นให้ความสำคัญของพระมหากษัตริย์
     พงศาวดารมักจะพบในงานเขียนของอาณาจักรอยุธยา
ซึ่งสะท้องให้เห็นถึงอำนาจของอาณาจักรซึ่งมีลักษณะการรวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลางที่เมืองหลวงและองค์มหากษัตริย์
เช่น พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับหลวงประเสริฐ, พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา
ฉบับพันจันทนุมาศ, พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับสมเด็จพระนพรัตน์,
พระราชพงศาวดารกรุงสยาม ฉบับบริติชมิวเซียม, พงศาวดาร
ฉบับพระราชหัตถเลขา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น